วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

How to get BIG IDEA?

"Big Ideas Can Makes Anyone Feel Small."
How to get BIG IDEA !!!
มักถกเถียงกันอยู่เสมอๆว่า อะไรคือ Big Idea ลองมาทำความรู้จักกันสักเล็กน้อย เพื่อวางรากฐาน สู่ความมั่นคงของความคิด
Big Idea หายากมากๆ กว่าจะได้มาต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้งบประมาณในการสร้างสรรค์ แต่ถ้าเกิดได้แล้ว มันก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ Brand นั้นๆ
Big Idea คืออะไร
- คือ แกนของไอเดีย หรือจุดรวมของความคิด ก่อนที่จะแตกยอดออกไปเป็นไอเดียอื่น เช่น ไอเดียของ Script หนัง หรือไอเดียสำหรับ Print Ad- คือ สิ่งที่จะทำให้คนจดจำเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าของเรา และเป็นคุณค่า หรือจุดเด่นที่ชัดเจนปีแล้วปีเล่า- คือ แกนที่ยึดไอเดียของงานชิ้นนั้นๆ ในแคมเปญมีเนื้อหาต่อเนื่อง และมีจุดขายที่ชัดเจน
ตัวอย่าง-
Big Idea ของ Pepsi “The taste of a new generation”-
Big Idea ของ Nike “Just do it”
แล้วมันสำคัญอย่างไร ?
- เพื่อให้คนจดจำ และเข้าใจจุดเด่น หรือจุดขายของสินค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านสื่อต่างๆ มากมาย- เพื่อสร้างให้จุดเด่น หรือจุดขายกลายเป็นสมบัติของเราในที่สุด- สำหรับ Brand ที่ยังมีจุดขายไม่ชัดเจน Big Idea จะช่วยสร้างให้เกิดขึ้น และตอกย้ำเข้าสู่ความจดจำของผู้บริโภค- สำหรับ Brand ที่มีจุดขายที่จับต้องไม่ได้ Big Idea จะช่วยปั้นน้ำให้เป็นตัว จับต้องได้
แล้วจะหาได้อย่างไร ?
- จากการรู้จักกลุ่มเป้าหมายของ Brand หรือสินค้านั้น- จากการรู้จักตัวสินค้า- มองจากโจทย์กลุ่มเป้าหมาย- เขาเป็นใคร เพศอะไร อายุเท่าไหร่- เขาใช้ชีวิตอย่างไร ทำงานอะไร เวลาว่างทำอะไร- เขามีทัศนคติอย่างไร ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว และต่อประเภทของสินค้านี้ และยี่ห้อสินค้านี้- เขาเคยลองใช้สินค้าประเภทนี้แล้วหรือยัง- เขาเป็นลูกค้าประจำ หรือชอบเปลี่ยนยี่ห้อไปมา- เขามีประสบการณ์ไม่ดีกับยี่ห้อเราหรือเปล่า เขาเลิกไปหรือยังตัวสินค้า- ประสิทธิภาพของตัวสินค้าว่ามีจุดเด่นอย่างไร- คุณลักษณะของตัวสินค้า- ประวัติความเป็นมาว่ามีเรื่องราวจับต้องได้ไหม- ยี่ห้ออะไร ดูดีไหม LOOK ดีไหม- ภาพพจน์ของผู้ใช้ ว่าใส่แล้วเจอเพื่อนล้อหรือเปล่าโจทย์ที่ดีเป็นอย่างไร- โจทย์ที่ดี- รวบรวมข้อมูลทั้งด้านลึก ด้านกว้าง เกี่ยวกับสินค้า และกลุ่มเป้าหมาย-
ขั้นต้นนี้พอสรุปได้ว่า
โฆษณาต้องการพูดว่าอะไรผ่าน Single minded and inspiring proposition (จุดขายหนึ่งเดียว และก่อให้เกิดจินตภาพ และสร้างสรรค์ออกมาให้เป็นรูปร่าง)- โจทย์ที่ดีมักจะฟังแล้ว- ก่อให้เกิดไอเดีย ก่อให้เกิดความอยากที่จะสร้างสรรค์- เห็นจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง- น่าเชื่อถือ- ก่อให้เกิดแรงขับทางด้านไอเดีย
วิธีตรวจเช็คว่า BIG Idea ของคุณ Work หรือไม่ !
- มันสร้างการรับรู้ หรือการฮือฮาในกลุ่มเป้าหมายได้ หรือไม่
- มันเปลี่ยนทัศนคติของกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับสินค้าเรา หรือไม่
- คุณสามารถสื่อสาร Big Idea ในสื่อต่างๆ ได้ หรือไม่
- คุณสามารถมีไอเดียแตกย่อย เพื่อทำงานชิ้นใหม่บนแกนหลัก Big Idea เดิม หรือไม่ ปีแล้วปีเล่า
- มันช่วยเพิ่มยอดขาย หรือไม่
สรุปคือทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรเช็คคร่าวๆ ว่า ในการคิดงานแต่ละชิ้น แต่ละงาน เราได้ Big Idea หรือเปล่า เพราะถ้าเราได้ก็จะสามารถต่อยอดคิดเป็น Campaign ได้ตลอดเวลา
บทความดีๆจาก Bloggang.com

ถ้าอยากเป็นฟรีแลนซ์...

เทคนิคการทำงาน : เงินทองของ...ฟรีแลนซ์

เป็นข้อเขียนดีๆที่ ผู้ที่คิดจะเป็น "ฟรีแลนซ์"ทุกคนควรอ่านอย่างยิ่ง
ในฐานะที่ทั้งเคยทำงานประจำมาก่อน 10 ปี และออกมาเป็น "ฟรีแลนซ์" ถึงวันนี้ก็ร่วม 10 ปีแล้ว
บอกได้คำเดียวว่า ทุกอย่างที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ "ถูกทุกข้อ"และควรอ่านอย่างยิ่ง ขอคาระวะกับคำแนะนำ


เงินทองของ..ฟรีแลนซ์......ต้องนึกไว้เสมอว่า “ฟรีแลนซ์” ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนพนักงานบริษัท เพราะฉะนั้นต้องออมระยะยาวด้วยตัวของเราเอง ......“ฟรีแลนซ์” อาชีพยอดฮิตแห่งยุคสมัย ของผู้คนที่โหยหาความอิสระและผลตอบแทนงามๆ ไม่ต้องทำงานซ้ำซากจำเจ หรือเข้างานเป็นเวลาเหมือนมนุษย์เงินเดือน ......ทุกวันนี้จึงมีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ที่ตัดสินใจเดินออกจากบริษัทและองค์กร เพราะต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระ และประกอบอาชีพที่ตัวเองเลือก ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ ช่างแต่งหน้า หรือคนเขียนการ์ตูน ......ฟังดูเหมือนเข้าที แต่เสียงสะท้อนจากผู้ที่ยึดอาชีพนี้ต่างบอกว่า รายได้ดีก็จริง แต่ทำไมหนอ เงินทองที่หามาได้ กลับเก็บไม่ค่อยได้เอาซะเลย บัญชีเงินฝากยังว่างโล่ง ......ถ้าเป็นอย่างนี้ ปัญหาของผู้ยึดอาชีพฟรีแลนซ์นี้อยู่ตรงไหน และพวกเขาควรจัดการเงินทองอย่างไรดี ถึงจะทำให้การดำเนินอาชีพอิสระเป็นไปอย่างราบรื่นถึงบั้นปลายของชีวิต ......ยิ่งเป็นฟรีแลนซ์ ยิ่งต้องวางแผนการออมและจัดการเงินทองที่รัดกุมกว่ามนุษย์เงินเดือน!! ......ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะการเป็นพนักงานบริษัทหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรนั้น ยังมีสวัสดิการ และช่องทางการออมในรูปแบบต่างๆ ที่จะช่วยทำให้การจัดการเงินทองของคุณนั้นง่ายขึ้น ......ส่วนฟรีแลนซ์นั้น รายได้เข้ามาไม่แน่นอน แม้จะมีสิทธิเลือกงานได้มากกว่าคนอื่น แต่งานที่เราชอบอาจไม่ได้เข้ามาตลอด เพราะฉะนั้น เมื่อทำงานและมีรายได้เข้ามาก็ควรเก็บออมไว้และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ......สำหรับคนที่เป็นฟรีแลนซ์ “รายได้” จึงเป็นตัวแปรสำคัญ ฟรีแลนซ์บางคนมีคนมารอเข้าคิวจ้างเต็มไปหมด รายได้อาจจะมากกว่ามนุษย์เงินเดือนเสียด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเป็นพวกศิลปินนักแสดงก็ยิ่งมีรายได้เยอะมีอิสระในการเลือกทำงานได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่ต้องระวังคือ ความไม่สม่ำเสมอของรายได้เท่านั้นเอง บางคนมีรายได้เป็นวัน ถ้าดูแลเงินไม่ดีเงินก็อาจใช้หมดภายในวันเดียว ......หากคุณเป็นหนึ่งในบรรดาฟรีแลนซ์ที่ยังจัดการเงินทองยังไม่ลงตัวเสียที ลองจัดการตามนี้ดูเผื่อว่ากระเป๋าสตางค์ของคุณจะหนาและหนักขึ้นบ้าง
-จดทุกรายละเอียด ......ก้าวแรกในการวางแผนการเงินของฟรีแลนซ์ ควรเริ่มต้นจากการจดรายละเอียดรายได้ทุกอย่างที่ได้รับ เพราะโดยปกติอาชีพฟรีแลนซ์มักมีรายได้เข้ามาไม่แน่นอน บางคนได้ทุกวัน บางคนได้สัปดาห์ละครั้ง ขณะที่บางคนได้เดือนละหลายครั้ง ฟรีแลนซ์หลายคนเมื่อได้เงินมาจึงใช้จ่ายหมดไปโดยไม่รู้ตัว ......สิ่งที่ควรทำเมื่อเริ่มต้นจัดการเงินทองคือ จดรายได้ที่ได้รับในแต่ละวันหรือแต่ละครั้ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าในแต่ละเดือนเรามีรายได้เท่าไหร่ ......ช่างแต่งหน้าบางคนทำงานชั่วโมงเดียวได้เงิน 1,000 บาท คิดดูว่าแค่รับงานวันละ 3-4 เจ้าก็ได้หลายพันแล้ว รายได้จึงดีกว่ามนุษย์เงินเดือนอีก แต่ปัญหาของพวกนี้คือ เมื่อได้มาก็ใช้ไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เงินก็หมดไปโดยไม่รู้ตัว ความจริงถ้าจดลงไปว่าวันนี้เราได้มาเท่าไหร่ พรุ่งนี้ได้เท่าไหร่ ในเดือนหนึ่งเราก็จะรู้ว่าเดือนนี้มีรายได้เท่าไหร่ และถ้าจะให้ดีคือ จดไว้ด้วยว่าในแต่ละเดือนเราได้ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง จะได้รู้ว่านิสัยการใช้จ่ายเราเป็นอย่างไร
-ออมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ......เพราะธรรมชาติของฟรีแลนซ์นั้นคือ การมีรายได้ที่ไม่นอน อนาคตของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนตามไปด้วย การรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต บรรดาฟรีแลนซ์จึงควรตั้งหน้าตั้งตาออมให้มากที่สุด และออมเท่าที่จะมากได้ ......มนุษย์เงินเดือนทั่วไปอาจจะออมเดือนละ10-30 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ แต่สำหรับฟรีแลนซ์นั้น ถ้าเป็นไปได้ให้กันรายได้มาออม 50 เปอร์เซ็นต์ ทันทีที่ได้รับเงิน ที่เหลือค่อยจับจ่ายใช้สอย ถ้าทำแบบนี้ได้ถือว่าเป็นการสร้างวินัยในเบื้องต้น ขณะเดียวกันในแง่ของการจับจ่ายใช้สอย ก็ต้องทำไปอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ใช้จ่ายเพลินมือ ......อย่าลืมนะ ว่าในแต่ละเดือนคุณยังไม่แน่ใจว่ารายได้จะมีเข้ามาเท่าไหร่ เดือนนี้อาจจะมากเดือนหน้าอาจจะน้อย หรือบางเดือนอาจจะแทบไม่มีเข้ามา ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่งคือ เมื่อมีรายได้รับเข้ามาเท่าไหร่ให้ออมไว้เลยครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยเงินที่คุณออมไว้ อาจจะไปช่วยเยียวยาอนาคตของคุณเองในกรณีที่บางเดือนอาจไม่มีรายได้เข้ามาเลย
-ปรับไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย ......เพราะไลฟ์สไตล์ของฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อย นิยมการเลี้ยงสังสรรค์และมีงานปาร์ตี้อยู่เป็นประจำ บางคนสังสรรค์สัปดาห์ละหลายวัน บางคนเมื่อได้เงินมาก็บินไปท่องเที่ยวในต่างประเทศทันทีที่มีเงินเข้ากระเป๋า การกิน ดื่ม เที่ยว และใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี จึงเป็นไลฟ์สไตล์ติดตัวฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อย ......แต่เมื่อไหร่ที่คิดจัดการกับเงินทองอย่างจริงจัง จะต้องเริ่มจากการปรับไลฟ์สไตล์อย่างเอาจริงเอาจัง เช่น ลดความถี่ของการสังสรรค์ลงบ้าง ในที่สุดก็จะทำให้มีเงินเหลือพอที่จะเก็บได้ เพราะรายจ่ายอาจจะลดลงไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต
-ทำประกันเพื่ออนาคต ......การทำประกันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คุณสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่ออนาคตของตัวคุณเอง ในแง่ของการออมนั้น นอกจากฝากเงินกับธนาคาร สิ่งที่ฟรีแลนซ์ควรทำคือ จัดสรรเงินไว้ทำประกัน เพราะในอนาคตไม่มีอะไรเป็นหลักประกันชีวิตเหมือนพนักงานบริษัทหรือข้าราชการทั่วไป ......ซึ่งประกันในปัจจุบันมีให้เลือกหลายแบบ อาจจะเลือกทำแบบสะสมทรัพย์เพื่อชีวิตในบั้นปลายก็ได้ หรือจะทำแบบที่สามารถคุ้มครองในยามเจ็บไข้
-ลงทุนเพื่อบั้นปลายชีวิต ......นอกเหนือจากการออมเงินในแบบพื้นฐาน เช่น การฝากแบงก์หรือทำประกันแล้ว ควรจะลงทุนในรูปของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) เพราะกองทุนพวกนี้อย่างน้อยเป็นการออมและลงทุนที่ช่วยประหยัดภาษี แถมทำให้ชีวิตในวัยเกษียณอยู่อย่างสุขสบาย ......ต้องนึกไว้เสมอว่า ฟรีแลนซ์ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนพนักงานบริษัท เพราะฉะนั้นต้องออมระยะยาวด้วยตัวของเราเอง อะไรที่เป็นช่องทางให้ออมในระยะยาวได้ก็ควรทำ เช่น ลงทุนในกองทุน LTF กับ RMF อย่างละ 15 เปอร์เซ็นต์ รวมกันแล้วก็ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้
-ก่อหนี้ให้น้อยที่สุด (หรือไม่มีหนี้เลย) ......กฎการเงินอีกข้อหนึ่งสำหรับฟรีแลนซ์ คือควรจะก่อหนี้ให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดจากอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ สินเชื่อบุคคล หรือเงินด่วน เพราะความที่รายได้ไม่แน่นอน หากสร้างหนี้ไว้มาก มีภาระต้องผ่อนชำระมาก แต่รายได้ในบางเดือนอาจไม่เพียงพอต่อการชำระ จนในที่สุดกลายเป็นหนี้เสีย และเสี่ยงต่อการที่ชื่อของคุณจะถูกขึ้นบัญชีดำอยู่ในเครดิตบูโรเปล่าๆ ......สำหรับฟรีแลนซ์ทั้งหลายที่อยากจัดการเงินทองอย่างจริงจัง แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี ลองหยิบเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ รับรองว่าถนนสายการออมของคุณจะราบรื่นขึ้นเยอะ "
ความจริงการเป็นฟรีแลนซ์มีข้อดีข้อเสียคละเคล้ากันไป ถ้ามองในแง่ของการเป็นหนี้นั้น พวกฟรีแลนซ์มักจะไม่ได้รับการนำเสนอจากพวกบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพวกบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล หรือแม้กระทั่งจะกู้ซื้อรถบางทีก็กู้ได้แค่ 70-80% ขณะที่พวกมนุษย์เงินเดือนมีแต่พวกบัตรเครดิต เงินด่วนไปนำเสนอ เวลาจะกู้ซื้อรถก็ได้เกือบ 100% ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ฟรีแลนซ์มีโอกาสสร้างหนี้ได้น้อยกว่าพวกมนุษย์เงินเดือน"
ที่มา จาก จัดระเบียบการเงินให้อยู่หมัด โดย กาญจนา หงษ์ทอง
-อิสระภาพบางครั้งอาจต้องแลกมาด้วยความอดทน-Fernando

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

Simple Program>Cool Job!

นักออกแบบหญิง ชื่อ Ademilson Batista da Silva ชาวบราซิล กับงานระดับโลก กับโปรแกรมธรรมดาอย่าง Illustator, Photoshop
อีกข้อพิสูจน์ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบคือไอเดีย ชมผลงานของเธอเต็มๆ ที่ http://www.adhemas.com/




Powered By Blogger