วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

วันจันทร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2551

Cool Designer



Jonathan Ives (โจนาทาน ไอฟ) Vice President of Industrial Design หัวหน้าทีมออกแบบของแอปเปิล ผ้อยู่เบื้องหลัง งานออกแบบสุดเจ๋งมากมาย เช่น iMac,iPod,iPhone เขาเป็นคนขี้อายมาก ถ่อมตัว ไม่ชอบเปิดเผยตัวต่อหน้าสาธารณชนเท่าไหร่ แต่เป็นที่รู้กันดีว่า นอกจาก Steve Jobs แล้ว เขานี่แหละคือเบอร์สองตัวจริง Jonathan Ive มีชื่อเต็มๆ ว่า Jonathan Paul Ive เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ 1967 ที่ประเทศอังกฤษ โดยหลังจากเรียนจบจาก Northumbria University ในปี 1985 แล้ว เค้าก็ได้ไปร่วมเปิดบริษัทกับเพื่อนชื่อ Tangerineโดย Tangerine นี้ได้ออกแบบผลิตภัณฑ์หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ไดร์เป่าผม ทีวี และเครื่องปั้นเซรามิกต่างๆ แน่นอน Apple ก็คือหนึ่งในลูกค้าของ Tangerine เขาเริ่มทำงานที่แอปเปิลตั้งแต่ปี 1992 อย่างไรก็ตาม Jonathan Ive ได้มาทำงานใน Apple ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดทางด้านธุรกิจของ Apple โดยในเวลานั้น เป็นช่วงเวลาที่คนกุมบังเหียนของ Apple คือ John Sculley ไม่ใช่ Steve Jobsการทำงานในช่วงนั้น เป็นช่วงที่ย่ำแย่ เพราะว่า John Sculley ไม่ได้เห็นเรื่องของการออกแบบเป็นเรื่องสำคัญ และที่แย่ไปกว่านั้นคือ เค้าได้มีการ outsource เรื่องการออกแบบให้กับบริษัทอื่นข้างนอกอีกด้วย

เขาจึงลาออกไปพักใหญ่ ก่อนกลับมาอีกครั้งในปี 1992 เมื่อ Steve Jobs กลับมาในปี 1997 ก็เหมือนเป็นยุคที่ Apple จะได้เกิดใหม่ Design กลับมามีความสำคัญอีกครั้ง โจนาธานสร้างสรรค์งานต่างๆ ด้วยการเริ่มต้นจากคำง่ายๆ 2 คำ " Focus & Caring " เวลาอธิบายขั้นตอนการออกแบบ เขามักแทนตัวด้วยคำว่า We หรือ Our Team อยู่เสมอ นั่นเพราะเขาให้เครดิตกับทีมออกแบบและทีมเทคโนโลยีควบคู่กันไปเสมอ เป็นไปไม่ได้เลยที่ทีมออกแบบจะออกแบบอะไรไปโดยไม่มีเทคโนโลยีที่ดีและเหมาะสมมารองรับ ความสำเร็จมากมายทั้งรางวัลเกียรติยศต่างๆและยอดขายถล่มทลายของ Apple นอกจากความสามารถในการออกแบบแล้วสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนได้เรียนรู้เล็กๆ ก็คือต้องมีความเชื่อถือ เชื่อมั่นในทีม และจงถ่อมตัวอยู่เสมอ...



บทเรียนชีวิตจากนกอินทรี

นกอินทรีมีชีวิตที่ยืนยาวที่สุดในบรรดาสัตว์ปีก
มันสามารถมีชีวิตได้นานถีง 70 ปี แต่ก่อนที่จะอยู่ได้นานถึงป่านนั้นนกอินทรีต้องมีการต่อสู้ครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของมันเมื่ออายุได้ 40 ปี

ตอนนั้นกรงเล็บที่แข็งแกร่งและยืดหยุ่นของมันจะไม่สามารถจับสัตว์เป็นอาหารได้อีก
จงอยปากที่แหลมคมเริ่มโค้งงอ
เนื่องจากมันอายุถึง 40 ปีแล้วจึงมีปีกที่หนาและหนัก ขนที่ยาวรุงรังจะไปรวมกันที่อกของมันทำให้มันบินได้ลำบากมากขึ้น

และเมื่อนั้น มันจะมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง นั่นก็คือตายไปซะหรือจะตัดสินใจที่จะอยู่ต่อไปซึ่งต้องเผชิญความเจ็บปวดในขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงชีวิตเป็นระยะเวลายาวนานถึง 150 วัน
ในขั้นตอนนี้มันจะต้องบินขึ้นไปบนยอดภูเขาสูง และอยู่ที่รังของมัน
มันจะต้องใช้จงอยปากที่โค้งทื่อของมันจิกเคาะกับก้อนหิน ครั้งแล้วครั้งเล่าจนกระทั่งจงอยหลุดออกมาหลังจากนั้นมันจะต้องรอให้จงอยปากอันใหม่งอกขึ้นมาและพอจงอยปากงอกออกมาแล้วที่นี้ก็ถึงตากรงเล็บที่งอกขึ้นมาใหม่ต่อจากจงอยปาก

เมื่อกรงเล็บใหม่ที่งอกขึ้นมาสมบูรณ์แล้วมันก็จะเริ่มจิกถอนขนที่ดกหนาแล้วผลัดขนใหม่
หลังจาก 5 เดือนหรือ 150 วันผ่านไปขั้นตอนการเปลี่ยนแปลงก็จะเสร็จสมบูรณ์นกอินทรีก็จะบินสูงทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้งพร้อมกับร้องเสียงดังก้องสะท้านฟ้าคล้ายดังเป็นการประกาศก้องว่า ตูข้ากำเนิดใหม่แล้วและจะมีชีวิตที่ยืนยาวต่อไปอีก 30 ปี....(ถ้าไม่ถูกยิงหรือเจออุบัติเหตุตายไปก่อน)

จากชีวิตของมันทำให้เราเรียนรู้ว่า...
หลาย ๆ ครั้ง...เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปเราต้องมีขั้นตอน-กระบวนการเปลี่ยนแปลงตนเอง
บางครั้งเราต้องลืมอดีตที่ขมขื่น นิสัยเก่า ๆ ที่เคยชิน ความผิดหวังต่าง ๆ
ดังนั้นเราจำเป็นต้องปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากนิสัย หรือสภาพแวดล้อมเดิม ๆเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างราบรื่นในปัจจุบัน

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

STARBUCK:POUR YOUR HEART INTO IT

สตาร์บัคส์:รินหัวใจลงไปในฝัน ...
ปรัชญาอุ่นๆในการสร้างฝันของคุณเอง

-----------------------------------------------------------------------------------------------
เคยอ่านหนังสือเล่มนี้ แล้วรู้สึกประทับใจในเนื้อหาและวิธีการเขียน โดยเฉพาะ คำคมดีๆที่ถูกนำมาไว้ตอนคั่นในแต่ละบท
ทำให้เข้าใจกับคำว่า แรงบันดาลใจ,การทำงาน และองค์กร มากขึ้น
หวังว่าคุณคงรู้สึกดีๆเหมือนกัน
-----------------------------------------------------------------------------------------------

จงใส่ใจ...กว่าที่ใครๆคิดว่าควรจะเป็น
จงเสี่ยง...เกินกว่าที่ใครๆคิดว่ารอบคอบปลอดภัยแล้ว
จงฝัน...เกินกว่าที่ใครๆคิดว่าจะเป็นจริงได้
และหวัง...ให้สูงเกินกว่าที่ใครๆคิดว่าจะเป็นไปได้

จินตนาการ ความฝัน และชาติกำเนิดที่ต่ำต้อย

" ใจเท่านั้นที่ทำให้เรามองเห็นได้อย่างลึกซึ้ง
สิ่งที่มีค่ายิ่ง...ไม่ไช่สิ่งที่เห็นด้วยดวงตา"
อองตวน เดอ แซงเต็กชูเปรี
เจ้าชายน้อย

รากฐานที่มั่นคง คืออนาคตที่ยั่งยืน

"ผมเตือนตัวเองวันละเป็นร้อยๆครั้งว่า
ชีวิตทั้งภายในและภายนอกของผม
ต้องพึ่งพาอาศัย แรงงานของผู้อื่น
ทั้งที่มีชีวิตและดับสูญไปแล้ว
ดังนั้น ผมจึงทุ่มเทตนเองเพื่อให้ได้สิ่งเดียวกับที่ผมได้รับ"
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์

เอสเปรสโซ ลำนำโสตแห่งอิตาเลียน

"คนบางคนมองสิ่งต่างๆอย่างที่เห็นและถามว่า"ทำไม"
แต่ผมกลับฝันถึงสิ่งที่ไม่เคยมีและพูดว่า "ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ล่ะ?"
จอร์จ เบอร์นาร์ด ชอว์
เป็นคำพูดที่ JFK มักอ้างถึงเสมอ

โชคเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความมุ่งมั่น

"เมื่อใดก็ตามที่คุณได้เห็นธุรกิจหนึ่งประสบความสำเร็จ
นั่นแสดงว่า ใครบางคนได้ทำการตัดสินใจที่หาญกล้าแล้ว"
ปีเตอร์ ดรักเกอร์

คนไร้ฝันยากที่จะสร้างสิ่งยิ่งใหญ่

"เราตัดสินตัวเองจากความรู้สึกที่ว่า เราสามารถทำอะไรได้บ้าง
แต่คนอื่นตัดสินเรา จากการกระทำของเรามากกว่า.."
เฮนรี่ วัดสเวิร์ธ ลองเฟลโลว์

การรับมืออุปสรรค

"คุณค่าของมนุษย์ ไม่ได้อยู่ตรงจุด ที่เขายืนอยู่ในช่วงเวลาที่สบายแต่อย่างใด
หากแต่อยู่ที่จุดที่ช่วงเวลาแห่งความท้าทายและขัดแย้งต่างหาก"
มาร์ติน ลูเธอร์ จูเนียร์

เดินตามความฝันอย่างรอบคอบ

"คนที่ชอบฝันตอนกลางคืน
มักตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝันนั้นไร้สาระหาประโยชน์อันใดมิได้
แต่คนที่ฝันกลางวันสิน่ากลัว
เพราะเขาอาจทำตามความฝันนั้น
ด้วยดวงตาที่เปิดกว้าง เพื่อทำให้ฝันนั้นเป็นจริงขึ้นมาให้ได้"
ที อี ลอว์เรนซ์ (แห่งอาระเบีย)

ร่ายมนต์ขลังสิ่งที่คุณคลั่งใคล้ใส่ผู้อื่น

"อะไรก็ตามที่คุณทำได้
หรือฝันว่าจะต้องทำให้ได้...ลงมือทันที
เพราะความกล้าหาญ คืออัจฉริยภาพ พลัง และอำนาจในตัวมันเอง"
เกอเต้

ปฏิบัติต่อทุกคนด้วยความเอาใจใส่เท่าเทียม

"ความมั่งคั่งเป็นเพียงหนทาง
ประชาชน คือ เป้าหมาย
ความอุดมสมบูรณ์ทางวัตถุทั้งหลาย
จะหาประโยชน์ผลอันใดไม่ได้มากมาย
หากเราไม่ได้ใช้มันเพื่อสร้างโอกาสแก่ประชาชนของเรา"
เจ.เอฟ.เค

องค์กรณ์ต้องมีรากฐานที่เข็งแรง

"ผู้สร้างบริษัทที่มีสายตายาวไกล
ต้องใส่ใจต่อการสร้างองค์ประกอบต่างๆ
เช่นเดียวกับการสร้างนาฬิกาสักเรือนหนึ่ง
ไม่ไช่คิดแต่การจะพุ่งสู่ตลาดทันที
เพียงเพราะมีผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในความคิดอันเจิดจรัสเท่านั้น"
เจมส์ ซี คอลลินส์ และ เจอรี่ ไอ พอร์เรส

อย่ากลัวคนที่เก่งกว่า

"ผู้บริหารที่ดี คือคนที่มีความสามารถ
เลือกสรรคนที่มีความเหมาะสม
ให้มารับผิดชอบในสิ่งที่ตนต้องการให้สำเร็จลุล่วง
และไม่เข้าไปแทรกแซงวุ่นวายการปฏิบัติหน้าที่ของคนเหล่านั้น"
ทีโอดอร์ รูสเวลต์

ยึดมั่นในหลักการ และยืดหยุ่นเมื่อจำเป็น

"สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในองค์กร ที่ใครจะละเมิดไม่ได้
น่าจะได้แก่ปรัชญาของการทำธุรกิจเท่านั้น"
โทมัส เจ วัตสัน จูเนียร์

ราคาของหุ้น ไม่ไช่คุณค่าที่แท้จริงของบริษัท

"จริงๆแล้วมีคำแนะนำแค่สองประการเท่านั้น
หนึ่งคือ สิ่งที่เป็นผลประโยชน์ของธุรกิจในระยะยาว
และผู้ถือหุ้นที่มีความสำคัญ กับการทำในสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้น"
โรเบิร์ต ดี แฮลส์

สร้างสรรค์ตัวเองขึ้นใหม่ตลอดเวลา

"ความแตกต่างระหว่างการมีผลงานที่ยิ่งใหญ่
กับผลงานระดับปานกลางหรือเลวร้ายที่สุด
อยู่ตรงที่การมีจินตนาการและความปรารถนา
ที่จะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นกว่าเดิมตลอดเวลา"
ทอม ปีเตอร์

ดีแค่ไหนก็ต้องปรับตัวอยู่เสมอ

"การที่จะนำหน้าผู้อื่นอยู่ตลอดเวลานั้น
คุณจำเป็นต้องมีความคิดใหม่ๆอยู่เสมอ"
โรซาเบธ มอส แคนเตอร์

เมื่อวิกฤติการณ์มาถึง

"ความแข็งแกร่งของมนุษย์สามารถวัดได้
ในยามที่เผชิญหน้ากับปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่เคยพบเจอ
ด้วยจิตใจที่สงบ..."
เจมส์ รัสเซลล์ โลเวลล์

ถ้าเสี่ยงแล้วคุ้ม ก็ควรจะลอง

"การหลีกเลี่ยงภัย หาได้ทำให้เกิดความปลอดภัยในระยะยาว
ได้ดีเท่ากับการเผชิญหน้าบมันโดยตรง
ชีวิตอาจหมายถึงการผจญภัยด้วยความกล้าหาญ
หรือไม่มีความหมายอะไรเลยก็ได้"
เฮเลน เคลเลอร์

ถ่อมตัวเข้าไว้

"ภารกิจพื้นฐานคือการทำตัวให้เล็กเข้าไว้
แม้จะเป็นองค์กรใหญ่แค่ใหนก็ตาม"
อี เอฟ ชูมาร์คเกอร์

รับผิดชอบต่อสังคม

"มีหลักฐานเชื่อได้ว่า
ธุรกิจที่มุ่งให้บริการลูกค้าอย่างสร้างสรรค์และชอบธรรม
ก็ยังสามารถรักษาผลประโยชน์ระยะยาวของผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี
ที่จริงบริษัทไหนๆก็สามารถทำดีได้ หากพวกเขาเลือกจะทำ"
นอร์แมน เลียร์

นึกถึงเป้าหมายระยะยาวอยู่เสมอ

"ถ้าเจ้ายังรักษาหน้าของเจ้าเอาไว้ได้
ในขณะที่คนรอบข้างต่างเสียหน้ากันถ้วนทุกคน
และทุกคนก็ต่างโทษว่าเป้นความผิดของเจ้า
ถ้าเจ้าเชื่อใจตัวเองในขณะที่คนอื่นต่างสงสัยเจ้า
จงอภัยต่อการสงสัยของพวกเขาเถิด
เพราะเหนืออื่นใด เจ้าก็เป็นแค่เพียงมนุษย์คนหนึ่ง
เหมือนๆกับทุกคนนั่นแหละ"
รัดยาร์ด คิปปลิง

ใช้ใจเป็นเครื่องนำทาง

"ความเป็นผู้นำก๊คือการค้นพบจุดหมายปลายทางของบริษัท
และกล้าพอที่จะดำเนินรอยตามบนเส้นทางดังกล่าว
บริษัทที่ยืนยงคือเป้าหมายสูงสุดของบริษัท"
โจ จาวอร์สกี้

บทสรุป...ของการเริ่มต้น

"ชัยชนะจะมีความหมายมากขึ้น หากไม่ได้เกิดจากความพยายามของคนๆเดียว
แต่มาจากความร่วมมือของหลายๆคน ความอิ่มเอิบใจจะยังคงอยู่
ตราบใดที่ผู้แข่งขันทุกคนใช้ใจของตนเองเป็นเครื่องนำทาง
เพื่อก้าวสู่ชัยชนะพร้อมๆคนอื่นมิใช่เพื่อตนโดยลำพัง..."


จากหนังสือ
"How Starbucks Built a Company One Cup at a Time"
กาแฟ แบรนด์ บรรษัท
โดย Howard Schutz&Dori Jones Yang แปลโดย เมธา ฤทธานนท์

You'll Never Walk Alone

เชื่อหรือไม่ครับบางครั้ง Brand บางอย่างอาจฝังตัวอยู่ในใจเรา ด้วยวลีหรือคำบางคำที่กระทบความรู้สึกของเราอย่างจัง
Liverpool FC สโมสรฟุตบอลชื่อดังแห่งเกาะอังกฤษ คือหนึ่งในBrandนั้น ใช่!ที่ผลงานในสนามเป็นส่วนสำคัญ แต่ลึกๆลงไปถ้าลองวิเคราะห์ดู สิ่งที่ผูกมัดให้แฟนๆของสโมรสรแห่งนี้ ภักดีกับสโมสรอย่างยาวนาน อาจเป็นจากคำๆนี้ คำที่กระทบกับหัวใจของใครๆ คำที่บ่งบอกถึงมิตรภาพได้ อย่างดีที่สุดระหว่างมนุษย์ด้วยกัน คำที่เป็นความภูมิใจของแฟนทุกคนรุ่นต่อรุ่น จนไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ผมตั้งชื่อเล่นของลูกชายว่า"ค็อป" หลายคนเข้าใจว่าเพราะผมเป็นแฟนของสโมสร Liverpool เพราะแฟนของสโมสรแห่งนี้ ขนานนามตัวเองว่า "The kop" เมื่อลูกชายของผมถามผมบอกแกว่า เหตุที่ผมตั้งชื่อแกอย่างนี้ก็เพราะ "พ่อจะไม่มีวันให้ลูกเดินอย่างเดียวดายนะสิ"
โดนครับโดน

You'll Never Walk Alone
Artist: Gerry and the Pacemakers

When you walk through a storm,
Hold your head up high,
And don't be afraid of the dark.
At the end of a storm,
There's a golden sky,
And the sweet silver song of a lark.
Walk on... through the wind,

Walk on... through the rain,
Though your dreams be tossed and blown..
Walk on..., walk on...,

with hope in your heart,
And you'll never walk alone.You'll never walk alone.
Walk on..., walk on...,

with hope in your heart,
And you'll never walk alone.You'll never walk alone.

ยามใดที่คุณได้เดินฝ่าพายุร้าย
จงภูมิใจในสิ่งที่คุณได้ฝ่าฝันจนผ่านพ้นมา
และอย่าได้หวาดกลัวกับความมืดมน
เมื่อพายุนั้นได้ผ่านพ้นไปจะมีท้องฟ้าทอแสงสว่างสดใส
และมีท่วงทำนองอันแสนหวานที่ขับขานจากนกลาร์ค
ก้าวเดินต่อไปฝ่าสายลมแรง

ก้าวเดินต่อไปแม้สายฝนโหมกระหน่ำ
แม้ว่าความฝันของคุณจะถูกทำร้ายจนแทบสิ้นกำลัง
ก้าวเดินต่อไป ก้าวเดินต่อไป

ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมภายในใจ
และคุณจะไม่มีวันเดินเดียวดายคุณจะจะไม่มีวันเดินเดียวดาย
ก้าวเดินต่อไป ก้าวเดินต่อไป

ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมภายในใจ
และคุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย
คุณจะไม่มีวันเดินเดียวดาย....

ความเป็นมา:เดิมที่เพลงนี้ต้นฉบับนั้นเป็นของ the Musical Carousal
และหลังจากนั้น Gerry and the Pacemakes ได้นำมาร้องใหม่
จนกลายเป็นเป็นเพลงยอดนิยมในขณะนั้น
และแฟนๆ The Kop ได้นำบทเพลง You'll Never Walk Alone นี้มาร่วมขับขานกันตั้งแต่ยุค 60s
และได้มีข้อโต้แย้งกันมานานระหว่างแฟนบอลของทีมลิเวอร์พูล เซลติก และฟูแล่ม ว่าแฟนบอลทีมใดเป็นผู้เพลง You'll Never Walk Alone นี้มาร้องสดุดีทีมรักของตนเองก่อนกัน แต่คงไม่มีข้อสงสัยกันอยู่แล้วว่า You'll Never Walk Alone นั้นเป็นเพลงสดุดีของถิ่น Anfield โดยแท้

วันพฤหัสบดีที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2551

How to get BIG IDEA?

"Big Ideas Can Makes Anyone Feel Small."
How to get BIG IDEA !!!
มักถกเถียงกันอยู่เสมอๆว่า อะไรคือ Big Idea ลองมาทำความรู้จักกันสักเล็กน้อย เพื่อวางรากฐาน สู่ความมั่นคงของความคิด
Big Idea หายากมากๆ กว่าจะได้มาต้องใช้เวลา ใช้ความอดทน ใช้งบประมาณในการสร้างสรรค์ แต่ถ้าเกิดได้แล้ว มันก็จะช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับ Brand นั้นๆ
Big Idea คืออะไร
- คือ แกนของไอเดีย หรือจุดรวมของความคิด ก่อนที่จะแตกยอดออกไปเป็นไอเดียอื่น เช่น ไอเดียของ Script หนัง หรือไอเดียสำหรับ Print Ad- คือ สิ่งที่จะทำให้คนจดจำเนื้อหาเกี่ยวกับสินค้าของเรา และเป็นคุณค่า หรือจุดเด่นที่ชัดเจนปีแล้วปีเล่า- คือ แกนที่ยึดไอเดียของงานชิ้นนั้นๆ ในแคมเปญมีเนื้อหาต่อเนื่อง และมีจุดขายที่ชัดเจน
ตัวอย่าง-
Big Idea ของ Pepsi “The taste of a new generation”-
Big Idea ของ Nike “Just do it”
แล้วมันสำคัญอย่างไร ?
- เพื่อให้คนจดจำ และเข้าใจจุดเด่น หรือจุดขายของสินค้าอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะผ่านสื่อต่างๆ มากมาย- เพื่อสร้างให้จุดเด่น หรือจุดขายกลายเป็นสมบัติของเราในที่สุด- สำหรับ Brand ที่ยังมีจุดขายไม่ชัดเจน Big Idea จะช่วยสร้างให้เกิดขึ้น และตอกย้ำเข้าสู่ความจดจำของผู้บริโภค- สำหรับ Brand ที่มีจุดขายที่จับต้องไม่ได้ Big Idea จะช่วยปั้นน้ำให้เป็นตัว จับต้องได้
แล้วจะหาได้อย่างไร ?
- จากการรู้จักกลุ่มเป้าหมายของ Brand หรือสินค้านั้น- จากการรู้จักตัวสินค้า- มองจากโจทย์กลุ่มเป้าหมาย- เขาเป็นใคร เพศอะไร อายุเท่าไหร่- เขาใช้ชีวิตอย่างไร ทำงานอะไร เวลาว่างทำอะไร- เขามีทัศนคติอย่างไร ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว และต่อประเภทของสินค้านี้ และยี่ห้อสินค้านี้- เขาเคยลองใช้สินค้าประเภทนี้แล้วหรือยัง- เขาเป็นลูกค้าประจำ หรือชอบเปลี่ยนยี่ห้อไปมา- เขามีประสบการณ์ไม่ดีกับยี่ห้อเราหรือเปล่า เขาเลิกไปหรือยังตัวสินค้า- ประสิทธิภาพของตัวสินค้าว่ามีจุดเด่นอย่างไร- คุณลักษณะของตัวสินค้า- ประวัติความเป็นมาว่ามีเรื่องราวจับต้องได้ไหม- ยี่ห้ออะไร ดูดีไหม LOOK ดีไหม- ภาพพจน์ของผู้ใช้ ว่าใส่แล้วเจอเพื่อนล้อหรือเปล่าโจทย์ที่ดีเป็นอย่างไร- โจทย์ที่ดี- รวบรวมข้อมูลทั้งด้านลึก ด้านกว้าง เกี่ยวกับสินค้า และกลุ่มเป้าหมาย-
ขั้นต้นนี้พอสรุปได้ว่า
โฆษณาต้องการพูดว่าอะไรผ่าน Single minded and inspiring proposition (จุดขายหนึ่งเดียว และก่อให้เกิดจินตภาพ และสร้างสรรค์ออกมาให้เป็นรูปร่าง)- โจทย์ที่ดีมักจะฟังแล้ว- ก่อให้เกิดไอเดีย ก่อให้เกิดความอยากที่จะสร้างสรรค์- เห็นจุดเด่นที่แตกต่างจากคู่แข่ง- น่าเชื่อถือ- ก่อให้เกิดแรงขับทางด้านไอเดีย
วิธีตรวจเช็คว่า BIG Idea ของคุณ Work หรือไม่ !
- มันสร้างการรับรู้ หรือการฮือฮาในกลุ่มเป้าหมายได้ หรือไม่
- มันเปลี่ยนทัศนคติของกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับสินค้าเรา หรือไม่
- คุณสามารถสื่อสาร Big Idea ในสื่อต่างๆ ได้ หรือไม่
- คุณสามารถมีไอเดียแตกย่อย เพื่อทำงานชิ้นใหม่บนแกนหลัก Big Idea เดิม หรือไม่ ปีแล้วปีเล่า
- มันช่วยเพิ่มยอดขาย หรือไม่
สรุปคือทั้งหมดเป็นสิ่งที่ควรเช็คคร่าวๆ ว่า ในการคิดงานแต่ละชิ้น แต่ละงาน เราได้ Big Idea หรือเปล่า เพราะถ้าเราได้ก็จะสามารถต่อยอดคิดเป็น Campaign ได้ตลอดเวลา
บทความดีๆจาก Bloggang.com

ถ้าอยากเป็นฟรีแลนซ์...

เทคนิคการทำงาน : เงินทองของ...ฟรีแลนซ์

เป็นข้อเขียนดีๆที่ ผู้ที่คิดจะเป็น "ฟรีแลนซ์"ทุกคนควรอ่านอย่างยิ่ง
ในฐานะที่ทั้งเคยทำงานประจำมาก่อน 10 ปี และออกมาเป็น "ฟรีแลนซ์" ถึงวันนี้ก็ร่วม 10 ปีแล้ว
บอกได้คำเดียวว่า ทุกอย่างที่ผู้เขียนได้เขียนไว้ "ถูกทุกข้อ"และควรอ่านอย่างยิ่ง ขอคาระวะกับคำแนะนำ


เงินทองของ..ฟรีแลนซ์......ต้องนึกไว้เสมอว่า “ฟรีแลนซ์” ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนพนักงานบริษัท เพราะฉะนั้นต้องออมระยะยาวด้วยตัวของเราเอง ......“ฟรีแลนซ์” อาชีพยอดฮิตแห่งยุคสมัย ของผู้คนที่โหยหาความอิสระและผลตอบแทนงามๆ ไม่ต้องทำงานซ้ำซากจำเจ หรือเข้างานเป็นเวลาเหมือนมนุษย์เงินเดือน ......ทุกวันนี้จึงมีคนหนุ่มสาวจำนวนไม่น้อย ที่ตัดสินใจเดินออกจากบริษัทและองค์กร เพราะต้องการที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระ และประกอบอาชีพที่ตัวเองเลือก ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ ช่างแต่งหน้า หรือคนเขียนการ์ตูน ......ฟังดูเหมือนเข้าที แต่เสียงสะท้อนจากผู้ที่ยึดอาชีพนี้ต่างบอกว่า รายได้ดีก็จริง แต่ทำไมหนอ เงินทองที่หามาได้ กลับเก็บไม่ค่อยได้เอาซะเลย บัญชีเงินฝากยังว่างโล่ง ......ถ้าเป็นอย่างนี้ ปัญหาของผู้ยึดอาชีพฟรีแลนซ์นี้อยู่ตรงไหน และพวกเขาควรจัดการเงินทองอย่างไรดี ถึงจะทำให้การดำเนินอาชีพอิสระเป็นไปอย่างราบรื่นถึงบั้นปลายของชีวิต ......ยิ่งเป็นฟรีแลนซ์ ยิ่งต้องวางแผนการออมและจัดการเงินทองที่รัดกุมกว่ามนุษย์เงินเดือน!! ......ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพราะการเป็นพนักงานบริษัทหรือเจ้าหน้าที่ขององค์กรนั้น ยังมีสวัสดิการ และช่องทางการออมในรูปแบบต่างๆ ที่จะช่วยทำให้การจัดการเงินทองของคุณนั้นง่ายขึ้น ......ส่วนฟรีแลนซ์นั้น รายได้เข้ามาไม่แน่นอน แม้จะมีสิทธิเลือกงานได้มากกว่าคนอื่น แต่งานที่เราชอบอาจไม่ได้เข้ามาตลอด เพราะฉะนั้น เมื่อทำงานและมีรายได้เข้ามาก็ควรเก็บออมไว้และใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ......สำหรับคนที่เป็นฟรีแลนซ์ “รายได้” จึงเป็นตัวแปรสำคัญ ฟรีแลนซ์บางคนมีคนมารอเข้าคิวจ้างเต็มไปหมด รายได้อาจจะมากกว่ามนุษย์เงินเดือนเสียด้วยซ้ำ ยิ่งถ้าเป็นพวกศิลปินนักแสดงก็ยิ่งมีรายได้เยอะมีอิสระในการเลือกทำงานได้อย่างเต็มที่ สิ่งที่ต้องระวังคือ ความไม่สม่ำเสมอของรายได้เท่านั้นเอง บางคนมีรายได้เป็นวัน ถ้าดูแลเงินไม่ดีเงินก็อาจใช้หมดภายในวันเดียว ......หากคุณเป็นหนึ่งในบรรดาฟรีแลนซ์ที่ยังจัดการเงินทองยังไม่ลงตัวเสียที ลองจัดการตามนี้ดูเผื่อว่ากระเป๋าสตางค์ของคุณจะหนาและหนักขึ้นบ้าง
-จดทุกรายละเอียด ......ก้าวแรกในการวางแผนการเงินของฟรีแลนซ์ ควรเริ่มต้นจากการจดรายละเอียดรายได้ทุกอย่างที่ได้รับ เพราะโดยปกติอาชีพฟรีแลนซ์มักมีรายได้เข้ามาไม่แน่นอน บางคนได้ทุกวัน บางคนได้สัปดาห์ละครั้ง ขณะที่บางคนได้เดือนละหลายครั้ง ฟรีแลนซ์หลายคนเมื่อได้เงินมาจึงใช้จ่ายหมดไปโดยไม่รู้ตัว ......สิ่งที่ควรทำเมื่อเริ่มต้นจัดการเงินทองคือ จดรายได้ที่ได้รับในแต่ละวันหรือแต่ละครั้ง เพื่อที่จะได้รู้ว่าในแต่ละเดือนเรามีรายได้เท่าไหร่ ......ช่างแต่งหน้าบางคนทำงานชั่วโมงเดียวได้เงิน 1,000 บาท คิดดูว่าแค่รับงานวันละ 3-4 เจ้าก็ได้หลายพันแล้ว รายได้จึงดีกว่ามนุษย์เงินเดือนอีก แต่ปัญหาของพวกนี้คือ เมื่อได้มาก็ใช้ไปอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง เงินก็หมดไปโดยไม่รู้ตัว ความจริงถ้าจดลงไปว่าวันนี้เราได้มาเท่าไหร่ พรุ่งนี้ได้เท่าไหร่ ในเดือนหนึ่งเราก็จะรู้ว่าเดือนนี้มีรายได้เท่าไหร่ และถ้าจะให้ดีคือ จดไว้ด้วยว่าในแต่ละเดือนเราได้ใช้จ่ายอะไรไปบ้าง จะได้รู้ว่านิสัยการใช้จ่ายเราเป็นอย่างไร
-ออมให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ......เพราะธรรมชาติของฟรีแลนซ์นั้นคือ การมีรายได้ที่ไม่นอน อนาคตของพวกเขาจึงเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนตามไปด้วย การรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต บรรดาฟรีแลนซ์จึงควรตั้งหน้าตั้งตาออมให้มากที่สุด และออมเท่าที่จะมากได้ ......มนุษย์เงินเดือนทั่วไปอาจจะออมเดือนละ10-30 เปอร์เซ็นต์ ของรายได้ แต่สำหรับฟรีแลนซ์นั้น ถ้าเป็นไปได้ให้กันรายได้มาออม 50 เปอร์เซ็นต์ ทันทีที่ได้รับเงิน ที่เหลือค่อยจับจ่ายใช้สอย ถ้าทำแบบนี้ได้ถือว่าเป็นการสร้างวินัยในเบื้องต้น ขณะเดียวกันในแง่ของการจับจ่ายใช้สอย ก็ต้องทำไปอย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ใช้จ่ายเพลินมือ ......อย่าลืมนะ ว่าในแต่ละเดือนคุณยังไม่แน่ใจว่ารายได้จะมีเข้ามาเท่าไหร่ เดือนนี้อาจจะมากเดือนหน้าอาจจะน้อย หรือบางเดือนอาจจะแทบไม่มีเข้ามา ดังนั้นสิ่งที่คุณควรทำอย่างยิ่งคือ เมื่อมีรายได้รับเข้ามาเท่าไหร่ให้ออมไว้เลยครึ่งหนึ่ง อย่างน้อยเงินที่คุณออมไว้ อาจจะไปช่วยเยียวยาอนาคตของคุณเองในกรณีที่บางเดือนอาจไม่มีรายได้เข้ามาเลย
-ปรับไลฟ์สไตล์การใช้จ่าย ......เพราะไลฟ์สไตล์ของฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อย นิยมการเลี้ยงสังสรรค์และมีงานปาร์ตี้อยู่เป็นประจำ บางคนสังสรรค์สัปดาห์ละหลายวัน บางคนเมื่อได้เงินมาก็บินไปท่องเที่ยวในต่างประเทศทันทีที่มีเงินเข้ากระเป๋า การกิน ดื่ม เที่ยว และใช้ชีวิตอย่างอิสระเสรี จึงเป็นไลฟ์สไตล์ติดตัวฟรีแลนซ์จำนวนไม่น้อย ......แต่เมื่อไหร่ที่คิดจัดการกับเงินทองอย่างจริงจัง จะต้องเริ่มจากการปรับไลฟ์สไตล์อย่างเอาจริงเอาจัง เช่น ลดความถี่ของการสังสรรค์ลงบ้าง ในที่สุดก็จะทำให้มีเงินเหลือพอที่จะเก็บได้ เพราะรายจ่ายอาจจะลดลงไปประมาณ 25 เปอร์เซ็นต
-ทำประกันเพื่ออนาคต ......การทำประกันเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่คุณสามารถทำได้ ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่ออนาคตของตัวคุณเอง ในแง่ของการออมนั้น นอกจากฝากเงินกับธนาคาร สิ่งที่ฟรีแลนซ์ควรทำคือ จัดสรรเงินไว้ทำประกัน เพราะในอนาคตไม่มีอะไรเป็นหลักประกันชีวิตเหมือนพนักงานบริษัทหรือข้าราชการทั่วไป ......ซึ่งประกันในปัจจุบันมีให้เลือกหลายแบบ อาจจะเลือกทำแบบสะสมทรัพย์เพื่อชีวิตในบั้นปลายก็ได้ หรือจะทำแบบที่สามารถคุ้มครองในยามเจ็บไข้
-ลงทุนเพื่อบั้นปลายชีวิต ......นอกเหนือจากการออมเงินในแบบพื้นฐาน เช่น การฝากแบงก์หรือทำประกันแล้ว ควรจะลงทุนในรูปของกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) เพราะกองทุนพวกนี้อย่างน้อยเป็นการออมและลงทุนที่ช่วยประหยัดภาษี แถมทำให้ชีวิตในวัยเกษียณอยู่อย่างสุขสบาย ......ต้องนึกไว้เสมอว่า ฟรีแลนซ์ไม่มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเหมือนพนักงานบริษัท เพราะฉะนั้นต้องออมระยะยาวด้วยตัวของเราเอง อะไรที่เป็นช่องทางให้ออมในระยะยาวได้ก็ควรทำ เช่น ลงทุนในกองทุน LTF กับ RMF อย่างละ 15 เปอร์เซ็นต์ รวมกันแล้วก็ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ของรายได้
-ก่อหนี้ให้น้อยที่สุด (หรือไม่มีหนี้เลย) ......กฎการเงินอีกข้อหนึ่งสำหรับฟรีแลนซ์ คือควรจะก่อหนี้ให้น้อยที่สุด ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดจากอะไรก็แล้วแต่ ไม่ว่าจะเป็นกู้ซื้อบ้าน ซื้อรถ สินเชื่อบุคคล หรือเงินด่วน เพราะความที่รายได้ไม่แน่นอน หากสร้างหนี้ไว้มาก มีภาระต้องผ่อนชำระมาก แต่รายได้ในบางเดือนอาจไม่เพียงพอต่อการชำระ จนในที่สุดกลายเป็นหนี้เสีย และเสี่ยงต่อการที่ชื่อของคุณจะถูกขึ้นบัญชีดำอยู่ในเครดิตบูโรเปล่าๆ ......สำหรับฟรีแลนซ์ทั้งหลายที่อยากจัดการเงินทองอย่างจริงจัง แต่ยังไม่รู้จะเริ่มต้นตรงไหนดี ลองหยิบเคล็ดลับเหล่านี้ไปใช้ รับรองว่าถนนสายการออมของคุณจะราบรื่นขึ้นเยอะ "
ความจริงการเป็นฟรีแลนซ์มีข้อดีข้อเสียคละเคล้ากันไป ถ้ามองในแง่ของการเป็นหนี้นั้น พวกฟรีแลนซ์มักจะไม่ได้รับการนำเสนอจากพวกบรรดาเจ้าหนี้ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นพวกบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล หรือแม้กระทั่งจะกู้ซื้อรถบางทีก็กู้ได้แค่ 70-80% ขณะที่พวกมนุษย์เงินเดือนมีแต่พวกบัตรเครดิต เงินด่วนไปนำเสนอ เวลาจะกู้ซื้อรถก็ได้เกือบ 100% ซึ่งก็ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ฟรีแลนซ์มีโอกาสสร้างหนี้ได้น้อยกว่าพวกมนุษย์เงินเดือน"
ที่มา จาก จัดระเบียบการเงินให้อยู่หมัด โดย กาญจนา หงษ์ทอง
-อิสระภาพบางครั้งอาจต้องแลกมาด้วยความอดทน-Fernando

วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2551

Simple Program>Cool Job!

นักออกแบบหญิง ชื่อ Ademilson Batista da Silva ชาวบราซิล กับงานระดับโลก กับโปรแกรมธรรมดาอย่าง Illustator, Photoshop
อีกข้อพิสูจน์ว่า สิ่งสำคัญที่สุดในการออกแบบคือไอเดีย ชมผลงานของเธอเต็มๆ ที่ http://www.adhemas.com/




Powered By Blogger